เป็นอี่กหนึ่งเรื่องราวที่ชาวเน็ตต่างให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมาก เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมา ความคืบหน้ากรณีหญิงไทยที่เข้ารับการตรวจสุขภาพ เพื่อขอใบรับรองแพทย์ยืนยันการตรวจหาโຄวิด-19 ในการเดินทางไปต่างประเทศ แต่ผลการตรวจพบสารพันธุกssมโຄวิด-19 นั้น
ล่าสุด พญ.วลัยรัตน์ ไชยฟู ผอ.กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโsค ระบุไทม์ไลน์โดยละเอียดของผู้เคยติดโຄวิด-19 กล่าวว่า เมื่อทราบรายงานจากโรงพยาบาลรามาธิบดี ว่ามีผู้สงสัยว่าจะมีผลตรวจหาโຄวิด-19 เป็นบวก แม้จะพบสารพันธุกรรมน้อย แต่โดยระบบป้องกันควบคุมโsค จะต้องสอบสวนโsคเบื้องต้น จึงประสานไปยัง จ.เลย และสำนักงานป้องกันควบคุมโsค (สคร.) ที่รับผิดชอบ และประสานไปยังสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร (กทม.) เนื่องจากผู้ที่สงสัยติดรายนี้มีประวัติในช่วง 3 เดือนย้อนหลัง ได้พักอยู่ที่ จ.เลย และ กทม.
โดยประวัติของหญิงรายนี้ เมื่อเดินทางมาจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเข้าในสถานกักกันโsค ตรวจหาในสถานกักตัว 2 ครั้ง ไม่พบ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม เดินทางกลับภูมิลำเนาใน จ.เลย โดยมีเพื่อนขับรถมารับ ผู้สัมผัสใกล้ชิด 5 ราย และส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ใน จ.เลย หลังจากนั้นได้เดินทางไปเยี่ยมเพื่อนที่คลอดลูกโรงพยาบาลปากชม มีผู้สัมผัสใกล้ชิด 6 ราย
ต่อมาเมื่อวันที่ 12-13 สิงหาคม ได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ใน จ.เลย ผู้สัมผัสใกล้ชิดเป็นเพื่อนรวม 3 ราย โดยยังไม่สามารถระบุชื่อร้านได้ ทั้งนี้ ผู้สัมผัสใกล้ชิดในส่วนที่อยู่ใน จ.เลย ทั้งหมดจะต้องตรวจหา โดยในวันนี้ จ.เลย และ สคร.ลงไปเก็บตัวอย่างแล้ว อยู่ระหว่างรอผล หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม เดินทางมา กทม.พร้อมพ่อ แม่ และเพื่อน โดยเข้าพักที่โรงแรม มีผู้สัมผัสใกล้ชิด 4 ราย คือ เพื่อน 2 ราย และแม่บ้าน 2 ราย ส่วนหนึ่งมีผู้อาศัยในโรงแรมในช่วงเวลาเดียวกัน 104 ราย แต่การสอบสวนโsคไม่ถือว่าเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม หากประชาชนกังวล สามารถเข้ามาตรวจหาได้ แต่ต้องตรวจหาในผู้สัมผัสใกล้ชิดก่อน และเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ขึ้นแท็กซี่มายังโรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้สัมผัสใกล้ชิด 6 ราย เป็นคนขับแท็กซี่ 1 ราย และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอีก 5 ราย
ขณะที่ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า โดยสรุปมีผู้สัมผัสใกล้ชิดรวม 24 ราย ที่ต้องทำการสอบสวนโsค แต่ขณะนี้บุคคลดังกล่าวไม่ใช่ผู้ป่วย เนื่องจากไม่มีการติดแล้ว ผลการตรวจหาซ้ำ 2 ครั้งให้ผลเป็นลบ ดังนั้น รายนี้จึงไม่ใช่ผู้ป่วยยืนยันการติด อย่างไรก็ตาม ระบบของการสอบสวนโsคจะต้องดำเนินการอย่างเข้มงวด